top of page
Search

แบ่งกลุ่มการใช้พลังงาน..ก่อนเริ่มโครงการอนุรักษ์พลังงาน คุ้มที่สุด! บอส

Updated: Jan 7, 2024

## เริ่มต้นด้วยการทําความเข้าใจการใช้พลังงานในองค์กร

ก่อนจะเริ่มต้นโครงการประหยัดพลังงานใดๆ สิ่งสําคัญที่สุดคือการทําความเข้าใจการใช้พลังงานภายในองค์กรให้ลึกซึ้ง การทําความเข้าใจก่อนเริ่มต้นจะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมและโอกาสในการประหยัดพลังงานได้ชัดเจนมากขึ้น

เหตุผลหลักที่ควรทําความเข้าใจก่อนเริ่มต้น ได้แก่:

- ช่วยให้เข้าใจรูปแบบการใช้พลังงานในองค์กร และเห็นจุดที่มีโอกาสประหยัดพลังงานได้มากที่สุด

- ช่วยในการกําหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดที่เหมาะสม

- ช่วยในการจัดลําดับความสําคัญของมาตรการประหยัดพลังงาน

- ทําให้มั่นใจว่าการดําเนินงานจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมาย

ดังนั้น ก่อนลงมือทําโครงการ ต้องใช้เวลาศึกษาและทําความเข้าใจการใช้พลังงานในองค์กรให้ดีก่อน เพื่อให้การดําเนินงานประสบความสําเร็จอย่างแท้จริง



## แบ่งการใช้พลังงานออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่

ในการวางแผนการประหยัดพลังงาน สิ่งแรกที่ควรทําคือการแบ่งการใช้พลังงานขององค์กรออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

กลุ่มที่ 1: การเผาไหม้โดยตรง เช่น การใช้ก๊าซ ถ่านหิน เป็นต้น ซึ่งเป็นการใช้พลังงานโดยตรงที่ส่งผลต่อการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์

กลุ่มนี้ควรให้ความสําคัญเป็นลําดับแรก เนื่องจากเป็นการใช้พลังงานที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง การลดการใช้พลังงานกลุ่มนี้จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างมีนัยสําคัญ

โดยสามารถเริ่มต้นจากการศึกษาหาสาเหตุของการใช้พลังงานสูงในกลุ่มนี้ แล้วจึงค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อลดการใช้พลังงานลง

กลุ่มที่ 2: การใช้ไฟฟ้า

การใช้ไฟฟ้าในองค์กรสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่

กลุ่มย่อยที่ 1: การใช้ไฟฟ้าในการผลิต

กลุ่มนี้หมายถึงการใช้ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตโดยตรง เช่น เครื่องจักรในไลน์การผลิต ระบบปั๊ม ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องจักรเฉพาะทางที่ใช้ในการผลิตสินค้า

กลุ่มย่อยที่ 2: การใช้ไฟฟ้าในส่วนสนับสนุน

กลุ่มนี้หมายถึงการใช้ไฟฟ้าสําหรับอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับส่วนสนับสนุน เช่น ระบบแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ ลิฟต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าสํานักงาน เป็นต้น ซึ่งมักเป็นอุปกรณ์ทั่วไปที่ใช้สนับสนุนการทํางานขององค์กร

การแบ่งกลุ่มนี้จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของการใช้ไฟฟ้า และหาแนวทางประหยัดพลังงานได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

## เก็บข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อการใช้พลังงาน

ในการเก็บข้อมูลการใช้พลังงาน เราไม่ควรมองเพียงตัวเลขการใช้ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ควรเก็บข้อมูลปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการใช้พลังงานด้วย เช่น

- ปริมาณการผลิตสินค้า เพราะถ้าผลิตมากขึ้นก็จะใช้ไฟมากขึ้น

- อุณหภูมิอากาศภายนอก เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทําให้ใช้ไฟฟ้ามากขึ้นในการปรับอากาศ

- การตั้งค่าเครื่องจักร เช่น อุณหภูมิ ความเร็ว ซึ่งการตั้งค่าที่ไม่เหมาะสมจะทําให้ใช้ไฟฟ้ามากขึ้น

เมื่อบันทึกข้อมูลเหล่านี้พร้อมกับข้อมูลการใช้ไฟฟ้าจะช่วยให้เราเข้าใจรูปแบบการใช้พลังงานได้ดียิ่งขึ้น นําไปสู่การวางแผนประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

## วิเคราะห์หาจุดเริ่มต้นที่เหมาะสม

เมื่อมีข้อมูลการใช้พลังงานที่ครบถ้วนแล้ว สิ่งสําคัญคือการวิเคราะห์หาจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมที่สุดในการประหยัดพลังงาน

โดยควรพิจารณาหากลุ่มเป้าหมายที่คุ้มค่าที่สุดในการประหยัดพลังงานเป็นอันดับแรก เช่น หากพบว่าการใช้ไฟฟ้าในส่วนของเครื่องปรับอากาศมีสัดส่วนสูง และมีโอกาสประหยัดได้มาก ก็ควรเน้นมาตรการประหยัดพลังงานไปที่กลุ่มนี้เป็นอันดับแรก

นอกจากนี้ ควรคํานึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุน ความยากง่ายในการปฏิบัติ และผลกระทบต่อการผลิตด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการจะประสบความสําเร็จและเกิดการต่อยอดในอนาคต

เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ ประกอบแล้ว จึงเลือกจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้โครงการประหยัดพลังงานเกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร

## ติดตามและวัดผลอย่างต่อเนื่อง

หลังจากดําเนินมาตรการประหยัดพลังงานไปแล้ว สิ่งสําคัญคือการติดตามและวัดผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบว่ามาตรการต่างๆ มีประสิทธิภาพเพียงใด

การใช้ตัวชี้วัดที่เหมาะสมเป็นสิ่งจําเป็น เช่น หน่วยการใช้ไฟฟ้าต่อหน่วยผลิต (kWh/unit) ซึ่งจะบอกได้ว่าประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าดีขึ้นหรือแย่ลง

นอกจากนี้ ควรมีการตรวจติดตามอุปกรณ์และระบบต่างๆ อย่างสม่ําเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่ายังคงมีประสิทธิภาพดีอยู่

การติดตามและวัดผลอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เราทราบถึงจุดอ่อนหรือสิ่งที่ยังต้องปรับปรุง เพื่อนําไปสู่การประหยัดพลังงานอย่างยั่งยืนต่อไป


## ตัวอย่าง

โรงงานอาหารแห่งหนึ่ง ต้องการวิเคราะห์การใช้ไฟในห้องแช่แข็งสินค้า Freezer เพื่อนำมาจัดการบริหารต้นทุน


ข้อมูลที่ทางโรงงานเลือกเก็บเพื่อนํามาวิเคราะห์ ได้แก่ การใช้ไฟฟ้าโดยรวมต่อวันในหน่วย kWh/day อุณหภูมิอากาศภายนอกในหน่วยองศาเซลเซียส และจํานวนสินค้าที่เก็บในห้องในหน่วยก้อน


วิธีการวิเคราะห์ง่ายๆ คือ การสังเกตหา Pattern จากข้อมูล เพื่อนํามาวิเคราะห์และคํานวณหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการใช้ไฟฟ้า



## Pattern 1 : เก็บสินค้ามากขึ้น ใช้ไฟเพิ่มขึ้น

การใช้ไฟต้องมากขึ้นเมื่อเราเก็บสินค้ามากขึ้นเป็น fact อยู่แล้ว แต่ถ้าเรามี Pattern ของข้อมูลเราสามารถบอกได้เลยการใช้ไฟจะเพิ่มขึ้นเท่าไร

ของตัวอย่างนี้พบว่า เมื่อปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 30% การใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% เนื่องจากต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการทําความเย็นและรักษาอุณหภูมิของสินค้าให้คงที่

ดังนั้น หากต้องการประหยัดพลังงาน ควรพิจารณาการจัดเก็บสินค้าในห้องแช่แข็งให้เหมาะสม ไม่ให้มีสินค้ามากเกินไปจนทําให้เครื่องทําความเย็นต้องทํางานหนักและใช้ไฟฟ้ามากเกินความจําเป็น


(โรงงานนี้ใช้ห้องแช่แข็งในการลดอุณหภูมิตัวสินค้า จากอุณหภูมิสูงลงมาที่อุณหภูมิติดลบ ดังนั้นจำนวนสินค้าที่เข้ามาเก็บในห้องจึงมีผลโดยตรงต่อค่าไฟแอร์ของห้อง)




## Pattern 2 : อุณหภูมิสภาวะแวดล้อมภายนอกถึงค่าไฟ

จากการสังเกต พบว่าอุณหภูมิอากาศภายนอกมีผลต่อการใช้ไฟฟ้าของห้องแช่แข็งอย่างชัดเจน ในวันที่อากาศร้อน การใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้น ในทางกลับกันในวันที่อากาศเย็น การใช้ไฟฟ้าจะลดลง


เมื่อพิจารณาข้อมูลอย่างละเอียด พบว่า เมื่ออุณหภูมิภายนอกลดลง 1 องศาเซลเซียส การใช้ไฟฟ้าของห้องแช่แข็งจะลดลงประมาณ 2-3% เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่มีอุณหภูมิสูงกว่า


ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่า อุณหภูมิอากาศภายนอกมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการใช้ไฟฟ้าของห้องแช่แข็ง ซึ่งข้อมูลนี้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนการใช้ไฟฟ้าของห้องแช่แข็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น



 
 
 

Comments


ติดต่อเรา

บริษัท โกลเบน เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
17 ซอย พาณิชยการธนบุรี 21 แยก 3 แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 10600


Tel : 02-412-5713
Mobile: 086-599-6636
Email: sales@globeneng.com /vorapat17.gbe@gmail.com

  • Line
  • Facebook

© 2021 by GLOBEN ENGINEERING CO.,LTD.

ต้องการลดค่าไฟ

ขอบคุณที่ติดต่อเรา 🌍 

bottom of page